พวกเราจัดอันดับผู้ให้บริการตามการทดสอบและการค้นคว้าอย่างเข้มงวด แต่ก็จะมีการคำนึงถึงความคิดเห็นของคุณและค่าคอมมิชชั่นจากผู้ให้บริการด้วย ผู้ให้บริการบางรายนั้นจะมีบริษัทแม่แห่งเดียวกันกับพวกเรา
เรียนรู้เพิ่มเติม
vpnMentor ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 เพื่อจุดประสงค์ในการตรวจสอบบริการ VPN และวิจารณ์ด้านความเป็นส่วนตัว ในวันนี้ทีมนักวิจัย นักเขียนและบรรณาธิการด้านความปลอดภัยอินเตอร์เน็ตของเราหลายร้อยคนยังคงช่วยเหลือผู้อ่านต่อสู้เพื่ออิสรภาพทางออนไลน์โดยร่วมมือกับ Kape Technologies PLC ซึ่งเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ต่อไปนี้: Holiday.com, ExpressVPN, CyberGhost, Private Internet Access และ Intego ซึ่งอาจได้รับการวิจารณ์บนเว็บไซต์นี้ บทวิจารณ์ที่เผยแพร่บน vpnMentor เชื่อว่ามีความถูกต้อง ณ วันที่เผยแพร่แต่ละบทความและเขียนขึ้นตามมาตรฐานการตรวจสอบที่เข้มงวดของเรา ซึ่งจัดลำดับความสำคัญของการตรวจสอบผู้ตรวจสอบอย่างมืออาชีพและซื่อสัตย์ โดยคำนึงถึงความสามารถทางเทคนิคและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ร่วมกับมูลค่าทางการค้าสำหรับผู้ใช้ การจัดอันดับและบทวิจารณ์ที่เราเผยแพร่อาจคำนึงถึงความเป็นเจ้าของร่วมกันกับบริการที่กล่าวถึงข้างต้นและค่าคอมมิชชั่นพันธมิตรที่เราได้รับจากการซื้อผ่านลิงก์บนเว็บไซต์ของเรา เราไม่ได้ตรวจสอบผู้ให้บริการ VPN ทั้งหมดและเชื่อว่าข้อมูลที่จะมีความถูกต้อง ณ วันที่เผยแพร่แต่ละบทความ
การเปิดเผยข้อมูลการโฆษณา

vpnMentor ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 เพื่อจุดประสงค์ในการตรวจสอบบริการ VPN และวิจารณ์ด้านความเป็นส่วนตัว ในวันนี้ทีมนักวิจัย นักเขียนและบรรณาธิการด้านความปลอดภัยอินเตอร์เน็ตของเราหลายร้อยคนยังคงช่วยเหลือผู้อ่านต่อสู้เพื่ออิสรภาพทางออนไลน์โดยร่วมมือกับ Kape Technologies PLC ซึ่งเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ต่อไปนี้: Holiday.com, ExpressVPN, CyberGhost, Private Internet Access และ Intego ซึ่งอาจได้รับการวิจารณ์บนเว็บไซต์นี้ บทวิจารณ์ที่เผยแพร่บน vpnMentor เชื่อว่ามีความถูกต้อง ณ วันที่เผยแพร่แต่ละบทความและเขียนขึ้นตามมาตรฐานการตรวจสอบที่เข้มงวดของเรา ซึ่งจัดลำดับความสำคัญของการตรวจสอบผู้ตรวจสอบอย่างมืออาชีพและซื่อสัตย์ โดยคำนึงถึงความสามารถทางเทคนิคและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ร่วมกับมูลค่าทางการค้าสำหรับผู้ใช้ การจัดอันดับและบทวิจารณ์ที่เราเผยแพร่อาจคำนึงถึงความเป็นเจ้าของร่วมกันกับบริการที่กล่าวถึงข้างต้นและค่าคอมมิชชั่นพันธมิตรที่เราได้รับจากการซื้อผ่านลิงก์บนเว็บไซต์ของเรา เราไม่ได้ตรวจสอบผู้ให้บริการ VPN ทั้งหมดและเชื่อว่าข้อมูลที่จะมีความถูกต้อง ณ วันที่เผยแพร่แต่ละบทความ

เปรียบเทียบโปรโตคอล VPN: PPTP vs. L2TP vs. OpenVPN vs. SSTP vs. IKEv2

เฮนดริค ฮิวแมน เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย Emma Browne นักวิจัยด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์

ถึงแม้ว่าอาจดูชัดเจนว่าเทคโนโลยีการเข้ารหัส VPN เกือบทั้งหมดได้รับการรับรองและพัฒนาโดย National Institute of Standards and Technology แต่การเปิดเผยครั้งล่าสุดของ Edward Snowden ที่แสดงให้เห็นว่า NSA ได้กำลังพยายามที่จะทำลายและถอดรหัสเทคโนโลยีเหล่านี้มาหลายปีแล้วถือเป็นสิ่งที่น่าตกใจ ดังนั้นจึงมีคำถามตามมาว่า “เทคโนโลยี VPN เหล่านี้ปลอดภัยจริง ๆ หรือไม่”? เพื่อตอบคำถามเราจึงได้เขียนบทความนี้ขึ้นมา

เราะเริ่มต้นด้วยการพูดเกี่ยวกับความแตกต่างที่สำคัญระหว่างโปรโตคอล VPN และสิ่งที่มีผลต่อผู้ใช้งานก่อนที่จะพูดถึงแนวความคิดหลักเกี่ยวกับการเข้ารหัสและผลกระทบจากการโจมตีมาตรฐานการเข้ารหัสโดย NSA ที่มีผลต่อผู้ใช้งาน VPN หลายล้านคนทั่วโลก

Comparison-table-vpn-protocols_620

PPTP

Point-to-Point Tunneling ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นโดยสมาคมที่ถูกก่อตั้งโดย Microsoft Corporation ได้สร้าง Virtual Private Network บนเครือข่ายเน็ตเวิร์คแบบ dial-up และได้ใช้โปรโตคอลมาตรฐานสำหรับ VPN มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง โดยโปรโตคอล VPN ตัวแรกที่รองรับโดย Windows ที่มีชื่อว่า PPTP นี้ได้สร้างความปลอดภัยให้เกิดขึ้นโดยการใช้วิธีการพิสูจน์ยืนยันหลายวิธี เช่น MS_CHAP v2 ซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุด

อุปกรณ์และแพลทฟอร์มที่สามารถรองรับ VPN ได้นั้นจะมี PPTP เป็นมาตรฐาน และเนื่องจากการที่คุณสามารถทำการติดตั้งสิ่งนี้ได้อย่างง่ายดาย มันจึงเป็นตัวเลือกหลักสำหรับผู้ให้บริการ VPN และภาคธุรกิจต่าง ๆ นอกจากนี้การนำสิ่งนี้มาใช้งานยังใช้ทรัพยากรในการคำนวณเพียงเล็กน้อยเท่านั้นซึ่งทำให้โปรโตคอล VPN ตัวนี้เป็นหนึ่งในโปรโตคอลที่มีความรวดเร็วมากที่สุดที่มีอยู่

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการเข้ารหัสแบบ 128-bit แต่ก็ยังมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยอยู่บ้างโดยเฉพาะ MS-CHAP v2 Authentication ซึ่งไม่ได้รับการห่อหุ้ม ดังนั้น PPTP จึงสามารถถูกถอดรหัสได้ภายใน 2 วัน และถึงแม้ว่าข้อบกพร่องนี้จะได้รับแก้ไขโดย Microsoft แล้วแต่ยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีก็ได้แนะนำให้ผู้ใช้งาน VPN เลือกใช้ SSTP หรือ L2TP แทน

เนื่องจาก PPTP ไม่ได้มีความปลอดภัยเท่าที่ควร ดังนั้นเราจึงไม่แปลกใจว่าการถอดรหัสการสื่อสารที่มีการเข้ารหัสแบบ PPTP นั้นเกือบจะเป็นเรื่องปกติที่ NSA อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือการที่พวกเขาได้มีการถอดรหัสข้อมูลเก่า ๆ จำนวนมากซึ่งได้ถูกเข้ารหัสโดยผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยที่ในอดีตมีความเชื่อมั่นว่า PPTP เป็นโปรโตคอลที่มีความปลอดภัย

ข้อดี

  • รวดเร็ว
  • มี Client built-in สำหรับแพลทฟอร์มทุกชนิด
  • ง่ายต่อการติดตั้ง

ข้อเสีย

  • ถูกคุกคามโดย NSA
  • ไม่ปลอดภัยแบบสมบูรณ์

L2TP และ L2TP/IPsec

Layer 2 Tunnel Protocol ซึ่งไม่เหมือนกับโปรโตคอล VPN อื่น ๆ จะไม่มีการให้ความเป็นส่วนตัวและไม่มีการเข้ารหัสทราฟฟิกที่ผ่าน ดังนั้นมันจึงถูกนำมาใช้ร่วมกับโปรโตคอลที่มีชื่อว่า IPsec เพื่อเข้ารหัสข้อมูลก่อนที่จะมีการส่งผ่านข้อมูลเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลของผู้ใช้ อุปกรณ์สมัยใหม่ที่สามารถใช้งานกับ VPN ได้และระบบปฏิบัติการสมัยใหม่ทั้งหมดจะมี L2TP/IPsec ติดตั้งอยู่ภายในแล้ว การตั้งค่าต่าง ๆ นั้นสามารถทำได้ง่ายเหมือนกับ PPTP แต่อาจมีปัญหาเกิดขึ้นได้เนื่องจากโปรโตคอลได้มีการใช้ UDP port 500 ซึ่งอาจตกเป็นเป้าหมายที่ถูกบล็อคโดย NAT firewalls ได้ ดังนั้นคุณอาจต้องใช้ port forwarding ถ้าหากนำมาใช้กับ firewall

อย่างไรก็ตามไม่มีช่องโหว่ขนาดใหญ่สำหรับการเข้ารหัส IPsec และมันอาจยังคงมีความปลอดภัยอยู่ถ้าหากมีการนำมาใช้อย่างเหมาะสม แต่การเปิดเผยของ Edward Snowden เหมือนเป็นการบอกใบ้ว่าโปรโตคอลนี้กำลังถูกคุกคามจาก NSA  John Gilmore ผู้ซึ่งเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งและผู้เชี่ยวชาญด้านระบบความปลอดภัยของ Electric Frontier Foundation ได้กล่าวว่ามันเป็นไปได้ว่าโปรโตคอลนี้จะถูกทำให้อ่อนแอลงโดย NSA นอกจากนี้ตั้งแต่ที่โปรโตคอล LT29/IPsec ได้มีการห่อหุ้มข้อมูลถึงสองชั้น ดังนั้นมันจึงไม่มีประสิทธิภาพเหมือนกับแนวทางของ SSL และดังนั้นโปรโตคอลนี้จึงช้ากว่าโปรโตคอล VPN ตัวอื่น ๆ

ข้อดี

  • ได้รับการพิจารณาว่าปลอดภัย
  • มีอยู่บนอุปกรณ์และระบบปฏิบัติการสมัยใหม่ทั้งหมด
  • ง่ายในการตั้งค่า

ข้อเสีย

  • ช้ากว่า OpenVPN
  • อาจถูกคุกคามจาก NSA
  • อาจเกิดปัญหาได้ถ้าหากนำมาใช้กับ firewalls
  • มันเป็นไปได้ว่า NSA ได้ตั้งใจทำให้โปรโตคอลนี้อ่อนแอลง

OpenVPN

ด้วยการเป็นเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สที่ค่อนข้างใหม่ OpenVPN จะใช้โปรโตคอล SSLv3/TLSv1 และไลบรารี่ OpenSSL พร้อมด้วยเทคโนโลยีอื่น ๆ เพื่อสร้างโซลูชั่น VPN ที่เสถียรและมีพลังให้กับผู้ใช้ โปรโตคอลนี้สามารถปรับเปลี่ยนค่าได้และทำงานได้ดีบนพอร์ต UDP และมันยังสามารถถูกตั้งค่าเพื่อให้สามารถทำงานได้บนพอร์ตอื่น ๆ ได้เช่นกัน ทำให้เป็นการยากที่ Google และบริการอื่น ๆ จะสามารถทำการบล็อคได้

ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของโปรโตคอลนี้คือไลบรารี่ OpenSSL ซึ่งรองรับอัลกอริทึ่มการเข้ารหัสแบบต่าง ๆ เช่น 3DES, AES, Camellia, Blowfish, CAST-128 และอื่น ๆ อีกมากมายหรือแม้แต่ Blowfish หรือ AES ซึ่งถูกใช้สำหรับผู้ให้บริการ VPN โดยเฉพาะ นอกจากนี้ OpenVPN ยังมาพร้อมกับการเข้ารหัส 128-bit Blowfish ที่ติดตั้งมาภายใน สิ่งนี้ค่อนข้างปลอดภัยแต่ก็ยังมีจุดอ่อนอยู่เช่นกัน

ในด้านการเข้ารหัส AES ถือเป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่มีอยู่และได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘มาตรฐานในระดับทองคำ’ เนื่องจากยังไม่ได้มีการตรวจพบจุดอ่อนและนอกจากนี้รัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกายังได้ใช้การเข้ารหัสแบบนี้เพื่อปกป้องข้อมูล ‘ให้มีความปลอดภัย’ สิ่งนี้จะสามารถจัดการกับไฟล์ขนาดใหญ่ได้ดีกว่า Blowfish ด้วยขนาดบล็อค 128-bit เมื่อเทียบกับขนาดบล็อคของ Blowfish ที่ 64-bit อย่างไรก็ตามทั้งสองแบบนี้คือการเข้ารหัสที่ได้รับการรับรองจาก NIST และยังได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายถึงแม้ว่าจะยังคงมีปัญหาบางอย่างอยู่ซึ่งเราจะลองมาดูที่ด้านล่างนี้

สิ่งแรกคือ ความเร็วในการทำงานของโปรโตคอล OpenVPN จะขึ้นอยู่กับระดับของการเข้ารหัสแต่มันก็ยังเร็วกว่า IPsec ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน OpenVPN จะเป็นการเชื่อมต่อ VPN สำหรับบริการ VPN ทั้งหมดแต่มันก็ยังไม่ได้สามารถถูกนำไปใช้งานได้บนทุกแพลทฟอร์มและมันยังสามารถทำงานได้บนซอฟต์แวร์ของกลุ่มที่สามเกือบทั้งหมดได้ซึ่งรวมถึงทั้ง Android และ iOS

สำหรับการตั้งค่า โปรโตคอลนี้จะค่อนข้างซับซ้อนกว่า L2TP/IPsec และ PPTP โดยเฉพาะเมื่อได้มีการใช้ซอฟต์แวร์ OpenVPN แบบทั่วไป คุณไม่เพียงแค่ต้องดาวน์โหลดและติดตั้ง client เท่านั้นแต่คุณยังต้องใช้ไฟล์สำหรับการตั้งค่าเพิ่มเติม ผู้ให้บริการ VPN หลายรายต่างประสบปัญหากับการตั้งค่านี้เนื่องจากสร้างสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกค้า VPN ที่มีการปรับค่า

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาปัจจัยและข้อมูลทั้งหมดที่มาจาก Edward Snowden แล้ว มันดูเหมือนกับว่า OpenVPN ไม่ได้ถูกทำให้อ่อนลงหรือถูกเจาะช่องโหว่โดย NSA สิ่งนี้สามารถต้านทานการโจมตีจาก NSA ได้เนื่องจากมีการแลกเปลี่ยนคีย์ที่มีอายุไม่นาน อย่างไรก็ตามไม่มีใครที่จะทราบถึงขีดความสามารถสูงสุดของ NSA ได้  แต่ทั้งหลักฐานและการคำนวณต่างก็เป็นตัวที่บ่งบอกว่าเมื่อนำ OpenVPN ไปใช้ร่วมกับกุญแจเข้ารหัสที่แข็งแกร่งแล้ว โปรโตคอล VPN นี้จะเป็นโปรโตคอลเพียงตัวเดียวที่ได้รับการพิจารณาว่ามีความปลอดภัย

ข้อดี

  • มีความสามารถในการหลบหลีก firewalls ได้เกือบทั้งหมด
  • ปรับค่าได้หลายส่วน
  • เนื่องจากโปรโตคอลนี้เป็นโอเพ่นซอร์ส มันจึงสามารถถูกคัดกรองได้ทางประตูหลัง
  • สามารถใช้งานร่วมกับอัลกอริทึ่มเข้ารหัสได้หลากหลายแบบ
  • มีความปลอดภัยในระดับสูง

ข้อเสีย

  • การตั้งค่าค่อนข้างซับซ้อน
  • ต้องใช้ซอฟต์แวร์กลุ่มที่สาม
  • การรองรับบนเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นทำได้ดีแต่สำหรับอุปกรณ์พกพานั้นต้องได้รับการปรับปรุง

SSTP

secure socket tunneling ถูกนำเสนอครั้งแรกโดย Microsoft Corporation ใน Windows Vista Service Package 1 ซึ่งสามารถใช้งานได้กับ SEIL, Linux และ RouterOS แต่ยังคงทำงานหลัก ๆ อยู่บนแพลทฟอร์ม Windows เนื่องจากมันใช้ SSL v3 มันจึงมีข้อดีที่คล้ายกับ OpenVPN เช่น ความสามารถในการป้องกันปัญหา  NAT firewall ดังนั้น SSTP จึงเป็นโปรโตคอล VPN ที่มีความเสถียรและง่ายต่อการใช้งานเนื่องจากมันได้ถูกฝังเอาไว้ใน Windows แล้ว

อย่างไรก็ตามนี่เป็นมาตรฐานที่เป็นลิขสิทธิ์ของ Microsoft และในอดีตองค์กรยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีนี้ได้เคยมีความร่วมมือกับ NSA ดังนั้นมันอาจเป็นไปได้ที่จะมีการใส่ประตูหลังไว้ในระบบปฏิบัติการ Windows จึงทำให้โปรโตคอลนี้ไม่ได้รับความไว้วางใจเหมือนกับมาตรฐานอื่น ๆ

ข้อดี

  • มีความสามารถในการหลบหลีก firewalls เกือบทุกแบบ
  • ระดับของความปลอดภัยจะขึ้นอยู่กับการเข้ารหัสซึ่งโดยส่วนใหญ่จะปลอดภัย
  • ถูกฝังเอาไว้ในระบบปฏิบัติการ Windows
  • รองรับ Microsoft

ข้อเสีย

  • เนื่องจากโปรโตคอลนี้เป็นมาตรฐานที่ถูกสร้างขึ้นโดย Microsoft Corporation ดังนั้นมันอาจมีประตูหลังได้
  • ทำงานได้บนแพลทฟอร์ม Windows เท่านั้น

IKEv2

Internet Key Exchange Version 2 เป็นโปรโตคอลแบบ IPsec ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นโดย Cisco และ Microsoft และได้ถูกใส่ไว้ในเวอร์ที่ 7 เป็นต้นไปของแพลทฟอร์ม Windows โปรโตคอลนี้จะมาพร้อมกับตัวโอเพ่นซอร์สที่สามารถนำไปใช้งานได้บน Linux และแพลทฟอร์มอื่น ๆ และยังรองรับอุปกรณ์ Blackberry อีกด้วย

โปรโตคอลนี้ถูกเรียกว่า VPN Connect โดย Microsoft Corporation เนื่องจากโปรโตคอลนี้จะช่วยเชื่อมต่อ VPN ให้โดยอัตโนมัติเมื่อการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้หลุดเป็นการชั่วคราว ผู้ใช้งานบนอุปกรณ์พกพาจะได้รับประโยชน์จาก IKEv2 มากที่สุดเนื่องจากโปรโตคอล Mobility และ Multi-homing ที่มีในมาตรฐานนี้จะช่วยให้สามารถทำการเปลี่ยนเน็ตเวิร์คได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้มันยังเหมาะสำหรับผู้ใช้ Blackberry อีกด้วยเนื่องจาก IKEv2 เป็นหนึ่งในโปรโตคอล VPN เพียงไม่กี่ตัวที่รองรับอุปกรณ์ Blackberry ถึงแม้ว่า IKEv2 จะสามารถใช้งานบนแพลทฟอร์มได้เป็นจำนวนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ IPsec แต่มันก็มีข้อดีในเรื่องความเสถียร ความปลอดภัย และประสิทธิภาพการทำงาน

ข้อดี

  • มีความปลอดภัยเป็นอย่างมาก – รองรับการเข้ารหัสหลากหลายแบบ เช่น 3DES, AES, AES 256
  • รองรับอุปกรณ์ Blackberry
  • มีความเสถียรโดยเฉพาะเมื่อทำการเชื่อมต่อหลังจากการเชื่อมต่อได้หลุดไปหรือการสลับเน็ตเวิร์ค
  • ง่ายต่อการติดตั้งจากด้านของผู้ใช้งาน
  • ค่อนข้างเร็วกว่า L2TP, PPTP และ SSTP

ข้อเสีย

  • รองรับแพลทฟอร์มได้ไม่กี่แบบ
  • การใช้ UDP port 500 จะถูกบล็อคได้ง่ายกว่าวิธีการที่ใช้ SSL เช่น SSTP หรือ OpenVPN
  • ไม่ใช่โปรโตคอลแบบโอเพ่นซอร์ส
  • ที่ด้านของเซิฟเวอร์ การใช้งาน IKEv2 นั้นค่อนข้างซับซ้อนซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาบางอย่างได้

ปัญหา

เพื่อที่จะเข้าใจการเข้ารหัสคุณจะต้องทราบแนวคิดที่สำคัญหลายอย่างซึ่งเราจะอธิบายไว้ที่ด้านล่างนี้

ความยาวของคีย์ในการเข้ารหัส

วิธีการคร่าว ๆ ในการหาระยะเวลาที่ใช้ในการเจาะรหัสนั้นคือการดูความยาวของคีย์ซึ่งเป็นตัวเลขดิบประกอบด้วยเลข 0 และ 1 ที่ถูกนำมาใช้ในการเข้ารหัส การค้นหาคีย์แบบละเอียด (หรือการโจมตีแบบ brute force) คือรูปแบบการเจาะรหัสแบบที่ไม่มีการผ่านกระบวนการใด ๆ ทั้งสิ้น โดยจะมีการลองรหัสที่เป็นไปได้ทุกตัวจนกว่าจะเจอรหัสที่ถูกต้อง ในด้านของความยาวของคีย์ระดับของการเข้ารหัสที่ถูกใช้โดยผู้ให้บริการ VPN นั้นจะอยู่ระหว่าง 128-bits และ 256-bits ระดับที่สูงขึ้นกว่านี้จะถูกใช้สำหรับการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและการจับมือ (handshake) แต่สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าการเข้ารหัสแบบ 256- bit จะดีกว่าแบบ 128-bit ใช่หรือไม่?

เพื่อหาคำตอบที่ถูกต้อง เราจะลองมองดูตัวเลขในมุมมองต่าง ๆ:

  • การเจาะรหัสคีย์ 128-bit จะใช้การสุ่มรหัสทั้งสิ้น 3.4x10(38) ครั้ง
  • การเจาะรหัสคีย์ 256-bit จะใช้พลังในการคำนวณสำหรับการสุ่มรหัสมากกว่า 2(128) เท่าเมื่อเทียบกับการเข้ารหัสคีย์ 128-bit
  • การเจาะรหัสแบบ Brute force สำหรับการเข้ารหัส 256-bit จะใช้การสุ่มรหัส 3.31 x 10(65) ครั้ง ซึ่งเกือบจะเท่ากับจำนวนรวมของอะตอมทั้งหมดในจักรวาล
  • Fujitsu K เป็นซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่รวดเร็วที่สุดในโลกของปี 2011 มีความเร็ว Rmax สูงสุด 10.51 petaflops จากตัวเลขนี้มันจะใช้เวลาประมาณ 1 พันล้านปีในการเจาะรหัสคีย์ 128-bit AES ด้วยวิธี brute force.
  • NUDT Tianhe-2 เป็นซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่รวดเร็วที่สุดในโลกของปี 2013 มีความเร็ว Rmax สูงสุด 33.86 petaflops ซึ่งมีความเร็วกว่า Fujitsu K อยู่เกือบ 3 เท่า จะใช้เวลาประมาณเศษหนึ่งส่วนสามของหนึ่งพันล้านปีในการเจาะรหัสคีย์ 128-bit AES ด้วยวิธี brute force

จากการเปิดเผยครั้งใหม่ของ Edward Snowden จึงมีความเชื่อในวงกว้างว่ารหัสแบบ 128-bit จะไม่สามารถถูกเจาะได้ด้วยวิธี brute force และจะเป็นอย่างนี้ไปอีกเป็นร้อย ๆ ปีหรือมากกว่านั้น อย่างไรก็ตามถ้าหากพิจารณาจากทรัพยากรของ NSA ที่มีอยู่ พวกเขาได้นำผู้เชี่ยวชาญและผู้ดูแบบระบบจำนวนมากจากทั่วโลกมาเพื่อทำการอัพเกรดความยาวของคีย์ ดังนั้นรัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกาจึงมีการใช้วิธีการเข้ารหัสแบบ 256-bit เพื่อปกป้องข้อมูลที่มีความบอบบาง (128-bit ถูกใช้สำหรับการเข้ารหัสแบบทั่วไป) อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะใช้วิธีการใด AES อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้เช่นกัน

รหัส

รหัส (Ciphers) คืออัลกอริทึ่มทางคณิตศาสตร์ที่ถูกนำมาใช้ในการเข้ารหัสและอัลกอริทึ่มที่อ่อนจะง่ายต่อการถูกแฮ็ค ในปัจจุบัน Blowfish และ AES เป็นอัลกอริทึ่มทั่วไปที่คุณจะพบอยู่บน VPN นอกจากนี้ RSA จะถูกนำมาใช้เพื่อการเข้ารหัสและถอดคีย์ของรหัส ในขณะที่ SHA-1 และ SHA-2 จะถูกใช้เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลด้วยการเป็นฟังก์ชั่นแฮช

อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน AES ได้รับการพิจารณาว่าเป็นรหัสที่มีความปลอดภัยมากที่สุดสำหรับ VPN การที่รัฐบาลสหรัฐได้นำสิ่งนี้ไปใช้ได้ทำให้มันได้รับความนิยมที่เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามยังมีเหตุผลอื่น ๆ อยู่อีกที่อาจทำให้เราเข้าใจผิดได้

NIST

SHA-1, SHA-2, RSA และ AES ได้รับการพัฒนาและรับรองโดย United States National Institute of Standards and Technology (NIST) ซึ่งเป็นส่วนที่ทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับ NSA ในการพัฒนารหัส ในตอนนี้เราได้ทราบแล้วว่า NSA ได้พยายามที่จะสร้างประตูหลังหรือทำมาตรฐานการเข้ารหัสให้อ่อนลง ดังนั้นเราจึงอาจเริ่มสงสัยในความตรงไปตรงมาเกี่ยวกับอัลกอริทึ่มของ NIST

ถึงแม้ว่า NIST จะปฏิเสธอยู่เรื่อยมาเกี่ยวกับการกระทำที่ไม่โปร่งใสบางอย่าง (เช่น การจงใจทำให้มาตรฐานของการเข้ารหัสอ่อนลง) และได้พยายามที่จะเรียกความเชื่อมั่นจากธารณะกลับมาด้วยการเชิญชวนผู้คนให้มามีส่วนร่วมในมาตรฐานการเข้ารหัสต่าง ๆ ของพวกเขา NSA ได้ถูกกล่าวหาโดย New York Times ว่าได้หลีกเลี่ยงมาตรฐานการเข้ารหัสที่ได้รับการอนุมัติโดย NIST ด้วยการรบกวนกระบวนการพัฒนาของสาธารณะหรือการนำเสนอประตูหลังที่ไม่สามารถถูกตรวจพบได้เพื่อทำให้อัลกอริทึ่มมีความอ่อนแอลง

ในวันที่ 17 กันยายน 2013 ได้มีเหตุการณ์ที่ทำให้สาธารณะเกิดความไม่มั่นใจมากยิ่งขึ้นเมื่อลูกค้าได้รับการบอกกล่าวแบบส่วนตัวโดย RSA Security ให้หยุดใช้อัลกอริทึ่มการเข้ารหัสบางตัวเนื่องจากมันมีข้อบกพร่องที่ถูกสร้างขึ้นอย่างจงใจโดย NSA

นอกจากนี้ยังได้มีการเชื่อว่ามาตรฐานการเข้ารหัสที่ถูกสร้างขึ้นโดย NIST ที่มีชื่อว่า Dual EC DRBG ไม่มีความปลอดภัยมาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว และมีการบันทึกข้อบกพร่องนี้เอาไว้โดย University of Technology ในประเทศเนเธอแลนด์ในปี 2006 อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะมีสิ่งที่น่ากังวลใจเหล่านี้เกิดขึ้นแต่เมื่อ NIST ได้นำไปในจุดในแล้วอุตสาหกรรมก็จะทำตามอย่างไม่รีรอเนื่องจากการปฏิบัติตามมาตรฐานของ NIST ถือเป็นสิ่งที่ต้องทำสำหรับการที่จะได้รับการเซ็นสัญญาจ้างจากรัฐบาลสหรัฐ

ถ้าหากพิจารณาถึงมาตรฐานของ NIST ที่สามารถพบได้ทั่วโลกในทุกธุรกิจและอุตสาหรกรรมที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล เช่น อุตสาหกรรม VPN แล้วมันอาจดูค่อนข้างน่ากลัว เนื่องจากมีผู้ใช้มาตรฐานเหล่านี้เป็นจำนวนมาก ผู้เชี่ยวชาญในด้านการเข้ารหัสจึงไม่ต้องการที่จะจัดการกับปัญหานี้ แต่มีเพียงบริษัทเดียวที่ทำคือ Silent Circle ซึ่งได้ตัดสินใจปิดบริการ Silent Mail เพื่อไม่ต้องการเห็นสิ่งนี้ถูกแทรกแซงโดย NSA โดยได้มีการประกาศว่าพวกเขาได้ออกห่างจากมาตรฐานของ NIST ในเดือนพฤศจิกายน 2013

ต้องขอขอบคุณการกล่าวถึงปัญหานี้โดย และผู้ให้บริการ VPN ขนาดเล็ก LiquidVPN ที่ได้ทำการทดสอบและทดลองรหัสที่ไม่ได้เป็นของ NIST อย่างไรก็ตามนี่เป็นผู้ให้บริการ VPN เพียงรายเดียวที่เคลื่อนไหวไปในทิศทางนี้ ดังนั้นก่อนที่เวลาจะมาถึงคุณจะต้องใช้ประโยชน์จากการเข้ารหัสแบบ 256-bit AES ได้ให้มากที่สุดซึ่งการเข้ารหัสแบบนี้เป็นมาตรฐานการเข้ารหัสที่ดีที่สุดในปัจจุบัน

การโจมตีจาก NSA ไปที่การเข้ารหัสแบบคีย์ RSA

หนึ่งในข้อมูลที่ถูกเปิดเผยโดย Edward Snowden ได้ระบุว่าโปรแกรมที่มีชื่อแบบลับว่า ‘Cheesy Name’ ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเลือกคีย์การเข้ารหัสที่ถูกเรียกว่า ‘certificates’ ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะถูกเจาะรหัสโดยซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ใน GCHQ สิ่งนี้ได้บ่งบอกว่า certificates เหล่านี้ซึ่งได้รับการปกป้องโดยการเข้ารหัสแบบ 1024-bit มีความอ่อนแอกว่าที่พวกเราคิดและสามารถถูกถอดรหัสได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วกว่าที่ GHCQ และ NSA ได้คาดคิด การแลกเปลี่ยนข้อมูลทั้งหมดในอดีตและอนาคตจะถูกแทรกแซงโดยใช้คีย์แบบถาวรเพื่อถอดรหัสข้อมูลทั้งหมด

ผลที่ตามมาคือรูปแบบการเข้ารหัสหลากหลายแบบที่ใช้คีย์อายุสั้นและ certificates จะต้องถือว่าไม่สามารถทำงานได้แล้ว เช่น TLS และ SSL ซึ่งสิ่งนี้จะส่งผลต่อทราฟฟิก HTTPS ทั้งหมด อย่างไรก็ตามอาจพอมีข่าวดีอยู่บ้าง OpenVPN ซึ่งใช้การแลกเปลี่ยนคีย์แบบชั่วคราวจะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะเหตุใด? เนื่องจากจะมีการสร้างคีย์ใหม่ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลแต่ละครั้ง ดังนั้นจึงไม่ได้เปิดโอกาสให้มีการสร้างความเชื่อถือโดย certificates

ถึงแม้ว่าจะมีใครก็ตามที่มีคีย์ส่วนตัวของ certificate การถอดรหัสการสื่อสารจะไม่สามารถเป็นไปได้ ด้วยการที่มีคนอยู่ระหว่างการโจมตี (MitM) มันก็ยังเป็นไปได้ที่จะมุ่งเป้าไปที่การเชื่อมต่อ OpenVPN แต่จะต้องมีการตั้งเป้าหมายเอาไว้แบบเฉพาะเจาะจงและคีย์ส่วนตัวจะต้องถูกแทรกแซงด้วย ตั้งแต่ที่ได้มีข่าวถูกประกาศออกมาสู่สาธารณะว่า GHCQ และ NSA สามารถเจาะการเข้ารหัสแบบ 1024-bits ได้แล้ว ได้มีผู้ให้บริการ VPN จำนวนหนึ่งที่เพิ่มการเข้ารหัสไปเป็น 2048- bits หรือแม้แต่ 4096-bits

Perfect Forward Secrecy

ข่าวดีเพิ่มเติมคือยังมีวิธีการแก้ปัญหานี้อยู่ แม้แต่การเชื่อมต่อแบบ TLS และ SSL จะไม่ยากจนเกินไปถ้าหากเว็บไซต์ได้เริ่มมีการใช้ perfect forward secrecy ซึ่งมีการสร้างคีย์สำหรับการเข้ารหัสที่ไม่เหมือนกันในแต่ละช่วงเวลา อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีเพียงบริษัทอินเตอร์เน็ตขนาดใหญ่เท่านั้นที่มีการใช้ระบบ perfect forward secrecy system ซึ่งก็คือ Google

ในส่วนของการสรุปบทความนี้ เราขอให้คุณปฏิบัติตามคำแนะนำที่ดีเยี่ยมจาก Edward Snowden ที่ได้กล่าวไว้ว่า ควรมีการใช้ระบบการเข้ารหัสเพื่อยกระดับความปลอดภัย ดังนั้นคุณควรได้ความรู้อะไรจากบทความนี้บ้าง? มันง่ายนิดเดียว! OpenVPN คือโปรโตคอลที่มีความปลอดภัยที่สุดและผู้ให้บริการ VPN ควรพยายามที่จะให้สิ่งนี้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้ให้บริการควรถอยออกมาให้ห่างจากมาตรฐานของ NIST ซึ่งนี่เป็นสิ่งหนึ่งที่พวกเรารอคอย

  • PPTP ไม่มีความปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง มันได้ถูกแทรงแซงโดย NSA แม้แต่ Microsoft ได้เลิกใช้โปรโตคอลนี้แล้วซึ่งทำให้มันเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ควรหลีกเลี่ยง ถึงแม้ว่าคุณจะพบว่ามันสามารถทำงานได้บนหลากหลายแพลทฟอร์มและก็ยังสามารถทำการติดตั้งได้อย่างง่ายดายก็ตามแต่โปรดทราบว่าผู้ใช้งานสามารถได้รับประโยชน์จากข้อดีเหล่านี้ได้ในโปรโตคอลที่มีความปลอดภัยมากกว่าเช่น L2TP/IPsec ได้เช่นกัน
  • ในด้านการใช้งานในส่วนที่ไม่ได้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก L2TP/IPsec จะเป็นโซลูชั่น VPN ที่เหมาะสำหรับคุณถึงแม้ว่ามันจะถูกทำให้อ่อนแอลงและถูกแทรกแซงโดย NSA เป็นอย่างมากก็ตาม ถ้าหากคุณกำลังมองหา VPN ที่สามารถติดตั้งได้อย่างง่ายดายที่ไม่ต้องใช้ซอฟต์แวร์เพิ่มเติมแล้ว ตัวเลือกนี้จะมีประโยชน์โดยเฉพาะสำหรับอุปกรณ์พกพาที่ยังรองรับ OpenVPN ได้ไม่ทั้งหมด
  • OpenVPN เป็นโซลูชั่น VPN ที่ดีที่สุดสำหรับคุณถึงแม้ว่าจะต้องมีการดาวน์โหลดและติดตั้งซอฟต์แวร์กลุ่มที่สามไปบนแพลทฟอร์มทั้งหมดก็ตาม มันมีความรวดเร็ว, ปลอดภัย, เสถียร และถึงแม้ว่าการติดตั้งจะค่อนข้างใช้เวลาแต่มันก็คุ้มค่าสำหรับการที่ได้มีความปลอดภัยในระดับพรีเมี่ยมที่จะช่วยปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของคุณในขณะที่คุณกำลังท่องโลกอินเตอร์เน็ตอยู่
  • IKEv2 เป็นโปรโตคอลที่มีความรวดเร็วและปลอดภัยถ้าหากนำมาใช้แบบโอเพ่นซอร์สโดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้อุปกรณ์พกพาเนื่องจากมันมีความสามารถในการเชื่อมต่อเองอัตโนมัติอีกครั้งหลังจากที่การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ขาดหายไป นอกจากนี้เนื่องจากมันเป็นหนึ่งในโปรโตคอล VPN เพียงไม่กี่ตัวที่รองรับอุปกรณ์ Blackberry ดังนั้นมันจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่คุณมี
  • SSTP มีข้อดีคล้าย ๆ กับการเชื่อมต่อแบบ OpenVPN แต่มันจะใช้ได้บนแพลทฟอร์ม Windows เท่านั้น ดังนั้นคุณจะพบว่ามันสามารถทำงานได้บนระบบปฏิบัติการ Windows ได้ดีกว่าโปรโตคอล VPN ตัวอื่น ๆ อย่างไรก็ตามมันไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ VPN เนื่องจากข้อจำกัดต่าง ๆ และการที่ Microsoft ได้เคยร่วมมือกับ NSA มาก่อน ดังนั้น SSTP จึงเป็นโปรโตคอลที่เราไม่ค่อยไว้วางใจ

โดยสรุปคือคุณควรใช้ OpenVPN อยู่เสมอถ้าเป็นไปได้ ส่วนสำหรับอุปกรณ์พกพา IKEv2 ถือเป็นตัวเลือกที่ดี สำหรับโซลูชั่นที่มีความรวดเร็ว L2TP จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม แต่เมื่อพิจารณาจากการเพิ่มขึ้นของแอพพลิเคชั่นบนมือถือที่รองรับ OpenVPN แล้ว เรายังคงเลือกใช้ OpenVPN มาก่อนโปรโตคอลตัวอื่น ๆ

หมายเหตุจากบรรณาธิการ: เราให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของเรากับผู้อ่าน และเรามุ่งมั่นที่จะได้รับความไว้วางใจจากคุณด้วยการทำงานด้วยความโปร่งใสและความซื่อสัตย์ เว็บของเราอยู่ในกลุ่มเจ้าของเดียวกันกับผลิตภัณฑ์ชั้นนำในอุตสาหกรรมบางส่วนที่ได้รับการตรวจสอบบนเว็บไซต์นี้: Intego, Cyberghost, ExpressVPN และ Private Internet Access อย่างไรก็ตามสิ่งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการตรวจสอบของเรา เนื่องจากเราปฏิบัติตามวิธีการทดสอบที่เข้มงวด

อันดับ
ผู้ให้บริการ
คะแนนของเรา
ส่วนลด
ไปที่เว็บไซต์
1
medal
9.9 /10
9.9 คะแนนของเรา
ประหยัดถึง 61%!
2
9.2 /10
9.2 คะแนนของเรา
ประหยัดถึง 83%!
3
9.7 /10
9.7 คะแนนของเรา
ประหยัดถึง 84%!
การแจ้งเตือนความเป็นส่วนตัว!

ข้อมูลของคุณจะถูกเปิดเผยต่อเว็บไซต์ที่คุณเข้าชม!

หมายเลข IP ของคุณ:

18.224.72.25

ตำแหน่งของคุณ:

US, Ohio, Columbus

ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตของคุณ:

ข้อมูลข้างต้นสามารถใช้เพื่อติดตาม กำหนดเป้าหมายโฆษณาและติดตามกิจกรรมที่คุณทำบนอินเตอร์เน็ตได้

VPN สามารถช่วยคุณซ่อนข้อมูลเหล่านี้จากเว็บไซต์ เพื่อให้คุณได้รับการปกป้องตลอดเวลา เราขอแนะนำ ExpressVPN - VPN อันดับ #1 จากผู้ให้บริการกว่า 350 รายที่เราได้ทดสอบ มีการเข้ารหัสระดับทหารและฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัวมากมายที่จะช่วยให้คุณมั่นใจในความปลอดภัยเมื่อใช้งานอินเตอร์เน็ต - นอกจากนี้ยังมีส่วนลดจาก 61% อีกด้วย หมายเหตุจากบรรณาธิการ: ExpressVPN และเว็บไซต์นี้อยู่ในกลุ่มบริษัทที่มีเจ้าของเดียวกัน

เข้าชมเว็บ ExpressVPN

พวกเราจัดอันดับผู้ให้บริการตามการทดสอบและการค้นคว้าอย่างเข้มงวด แต่ก็จะมีการคำนึงถึงความคิดเห็นของคุณและค่าคอมมิชชั่นจากผู้ให้บริการด้วย ผู้ให้บริการบางรายนั้นจะมีบริษัทแม่แห่งเดียวกันกับพวกเรา
เรียนรู้เพิ่มเติม
vpnMentor ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 เพื่อจุดประสงค์ในการตรวจสอบบริการ VPN และวิจารณ์ด้านความเป็นส่วนตัว ในวันนี้ทีมนักวิจัย นักเขียนและบรรณาธิการด้านความปลอดภัยอินเตอร์เน็ตของเราหลายร้อยคนยังคงช่วยเหลือผู้อ่านต่อสู้เพื่ออิสรภาพทางออนไลน์โดยร่วมมือกับ Kape Technologies PLC ซึ่งเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ต่อไปนี้: Holiday.com, ExpressVPN, CyberGhost, Private Internet Access และ Intego ซึ่งอาจได้รับการวิจารณ์บนเว็บไซต์นี้ บทวิจารณ์ที่เผยแพร่บน vpnMentor เชื่อว่ามีความถูกต้อง ณ วันที่เผยแพร่แต่ละบทความและเขียนขึ้นตามมาตรฐานการตรวจสอบที่เข้มงวดของเรา ซึ่งจัดลำดับความสำคัญของการตรวจสอบผู้ตรวจสอบอย่างมืออาชีพและซื่อสัตย์ โดยคำนึงถึงความสามารถทางเทคนิคและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ร่วมกับมูลค่าทางการค้าสำหรับผู้ใช้ การจัดอันดับและบทวิจารณ์ที่เราเผยแพร่อาจคำนึงถึงความเป็นเจ้าของร่วมกันกับบริการที่กล่าวถึงข้างต้นและค่าคอมมิชชั่นพันธมิตรที่เราได้รับจากการซื้อผ่านลิงก์บนเว็บไซต์ของเรา เราไม่ได้ตรวจสอบผู้ให้บริการ VPN ทั้งหมดและเชื่อว่าข้อมูลที่จะมีความถูกต้อง ณ วันที่เผยแพร่แต่ละบทความ

เกี่ยวกับผู้เขียน

เฮนดริคเป็นนักเขียนที่ vpnMentor เขาเชี่ยวชาญด้านการเปรียบเทียบ VPN และการเขียนคู่มือผู้ใช้ ด้วยประสบการณ์มากกว่า 5 ปีในฐานะนักเขียนด้านเทคโนโลยีและความปลอดภัยบนอินเตอร์เน็ต บวกกับประสบการณ์ด้านไอทีองค์กร เขานำเสนอมุมมองที่หลากหลายเพื่อทดสอบบริการ VPN และวิเคราะห์ว่าแต่ละบริการตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ที่แตกต่างกันอย่างไร

คุณชอบบทความนี้ไหม? โหวตให้คะแนนเลยสิ!
ฉันเกลียดมัน ฉันไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ พอใช้ได้ ค่อนข้างดี รักเลย!
เต็ม 10 - โหวตโดย ผู้ใช้งาน
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของคุณ

กรุณาแสดงความคิดเห็นว่าพวกเราสามารถพัฒนาบทความนี้ได้อย่างไร ความคิดเห็นของคุณมีค่าสำหรับเรา!

แสดงความคิดเห็น

ขออภัย แต่ช่องนี้ไม่รองรับลิงก์!

ชื่อจะต้องมีอย่างน้อย 3 ตัวอักษร

ช่องเนื้อหาจะต้องยาวไม่เกิน 80 ตัวอักษร

ขออภัย แต่ช่องนี้ไม่รองรับลิงก์!

กรุณากรอกที่อยู่อีเมลที่ถูกต้อง