VPN ถูกกฎหมายไหม ผิดกฎหมายที่ไหนบ้าง คำแนะนำสำหรับปี 2024
เรามาดูกันว่า VPN ถูกกฎหมายที่ไหนบ้าง แชร์
ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกผู้ให้บริการ VPN คำถามแรกที่ต้องถามก็คือ VPN ถูกกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นคำถามที่ถามกันอยู่บ่อยๆในฟอรั่มออนไลน์ และ - เนื่องจาก VPN มีแนวโน้มที่จะผิดกฎหมาย - จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้
คำตอบของคำถามนี้ขึ้นอยู่กับประเทศที่คุณอาศัยอยู่ นั่นเป็นเพราะว่าในบางประเทศ เช่น รัสเซียและจีน ประกาศว่า VPN ผิดกฎหมาย แต่ในประเทศอื่นๆยังอนุญาตให้ใช้ VPN อยู่
ก่อนที่เราจะพูดถึงว่า VPN ถูกกฎหมายหรือไม่ สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจว่า ถึงแม้ VPN จะถูกกฎหมาย การทำกิจกรรมที่ผิดกฎหมายผ่าน VPN ไม่ได้เป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย หากคุณกำลังทำสิ่งผิดกฎหมายผ่าน VPN คุณจะได้รับโทษตามกฎหมายของประเทศที่คุณพำนักอาศัยอยู่ ดังนั้นในขณะที่ VPN ช่วยปกปิดตัวตนของคุณนั้น; การจำหน่ายยาเสพติด, สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์, หรือการแพร่ไวรัสนั้น เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย และแน่นอนคุณจะต้องพบกับปัญหา
เนื่องจากบางคนใช้ VPN ในการทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย ทำให้หลายคนคิดว่า VPN เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เรื่องจริง ข้อดีของ VPN มีมากมาย ซึ่งลบล้างกับข้อเสียได้เป็นอย่างดี ด้านล่างนี้คือเหตุผลที่ คนนิยมใช้ VPN:
- หน่วยงานราชการและบริษัทต่างๆใช้ VPN ในการปกป้องที่ทำงาน การเพิ่มความปลอดภัยเพื่อปกป้องข้อมูลลับขององค์กรเป็นเรื่องสำคัญ เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้องค์กรไม่มีกำไรหรือทำให้เกิดความเสียหายทางทรัพย์สิน โดยในองค์กรที่มีการรักษาความปลอดภัยสูง -เช่นวาณิชธนกิจ- พนักงานจะไม่สามารถเข้าถึงการทำงานโดยตรงจากที่บ้านได้ แต่จะต้องใช้ VPN ที่ใช้เทคโนโลยี RSA เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลของพวกเขาจะปลอดภัย
- คนที่กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวใช้ VPN ในการใช้งานอินเตอร์เน็ตแบบไม่เปิดเผยตัวตน และทำให้พวกเขาปลอดภัยจากการสอดส่องของทางราชการหรือองค์กรอื่นๆ นักเขียนและนักข่าวหลายคนเขียนเกี่ยวกับเรื่องละเอียดอ่อน การใช้ VPN จะช่วยปกป้องพวกเขาจากการแก้แค้นและช่วยรักษาความปลอดภัยส่วนบุคคล บางคนไม่ต้องการให้เว็บเสิร์ชเอ็นจินติดตามประวัติการค้นหาและทำการโฆษณาแบบจำกัดกลุ่มเป้าหมาย การใช้ VPN ช่วยให้มั่นใจว่า IP address ของคุณจะปลอดภัยและเว็บเสิร์ชเอ็นจินก็ไม่สามารถค้นหาตัวตนของผู้ใช้งาน VPN ได้
- การใช้ WiFi สาธารณะเป็นสิ่งที่อันตรายต่อความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว WiFi สาธารณะนั้นควรมีไว้สำหรับใช้เล่นอินเตอร์เน็ตและไม่ควรทำธุรกรรมที่ต้องการความปลอดภัย เนื่องจากเป็นเรื่องง่ายอย่างไม่น่าเชื่อในการดักฟัง, แฮค, หรือโจมตีการเชื่อมต่อของคุณด้วย malware การใช้ VPN ในการส่งข้อมูลของคุณผ่านเครือข่ายที่ปลอดภัยจะช่วยปกป้องคุณในขณะที่คุณกำลังใช้ WiFi ที่ไม่ปลอดภัย
- คุณสามารถใช้ VPN ในการปลดบล็อคการเข้าถึงจากพื้นที่อื่น (Geo-restrictions) ตัวอย่างเช่น คุณสามารถใช้ Netflix หรือ HULU จากนอกสหรัฐฯ หรือสามารถใช้บริการอื่นๆที่ให้บริการเฉพาะบางประเทศได้ อย่างไรก็ตามนี่ถือเป็นเรื่องสีเทา ถึงแม้ผู้ให้บริการเหล่านี้จะไม่ฟ้องร้องคนทั่วไป แต่พวกเขาก็มีสิทธิ์แบนบัญชีของคุณและป้องกันไม่ให้คุณเข้าถึงคอนเทนท์ได้ในอนาคต
หากพูดถึงเรื่องความปลอดภัยขณะใช้ VPN นั้น ผู้ให้บริการ VPN ส่วนใหญ่ปกป้องผู้ใช้งานด้วยนโยบายการไม่เก็บข้อมูลในการเข้าเว็บไซต์ ซึ่งหมายความว่าข้อมูลของคุณจะไม่ถูกติดตามและกิจกรรมต่างๆก็จะไม่ถูกเฝ้าดู ทำให้ทางการไม่สามารถทราบข้อมูลของคุณได้ถึงแม้จะมีคำสั่งให้ผู้ให้บริการ VPN รายงานข้อมูลเหล่านี้
อย่างไรก็ตามผู้ให้บริการส่วนใหญ่จะต้องทำตามคำสั่งของผู้มีอำนาจในประเทศที่บริษัทนั้นจดทะเบียนอยู่ ดังนั้นผู้ให้บริการเหล่านั้นอาจจะต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการเข้าชมเว็บไซต์ให้กับหน่วยงานที่มีอำนาจหากถูกร้องขอ เพื่อเป็นการป้องกันเรื่องนี้ ผู้ให้บริการ VPN บางรายดำเนินกิจการในประเทศที่ไม่มีกฎเหล่านี้ หรือกฎไม่เข้มงวด ทำให้พวกเขาไม่ต้องทำตามคำสั่งนี้ เนื่องจากไม่มีกฎหมายที่บังคับใช้
ดังที่เราได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว การที่ VPN จะถูกกฎหมายหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ ในขณะที่ประเทศอเมริกา, แคนาดา, และสหราชอาณาจักรอนุญาตให้ใช้ VPN ได้ ประเทศอื่นๆไม่อนุญาต ด้านล่างคือรายชื่อประเทศที่ VPN ถูกแบนเป็นบางส่วนหรือทั้งหมด:
- จีน: การใช้ VPN เป็นเรื่องผิดกฎหมายในจีน ผู้ให้บริการ VPN ยังคงให้บริการได้อยู่หากได้รับใบอนุญาตจากทางการ แต่มีข้อตกลงและเงื่อนไขที่จำกัดจุดมุ่งหมายในการใช้ VPN
- อิรัก: เพื่อการติดตามและหยุดกลุ่ม ISIS ทำให้อิรัคแบนการใช้ VPN ทั้งหมด ถึงแม้เจตนาจะดี แต่ก็ทำให้ประชาชนลำบาก
- สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE): การใช้ VPN ใน UAE นั้นอาจมีค่าใช้จ่ายสูงมาก เนื่องจากคุณอาจโดนค่าปรับสูงสุดถึง £412,240 เหตุผลหลักในการแบนก็คือบริการ VOIP ซึ่งจะตัดกำไรของบริษัทโทรคมนาคมต่างๆ ดังนั้นรัฐบาลจึงแบน VPN เพื่อช่วยเหลือกิจการโทรคมนาคม
- ตุรกี: รัฐบาลตุรกีบล็อคเว็บไซต์หลายเว็บเพื่อควบคุมการใช้งานโซเชียลมีเดีย รวมทั้งเว็บไซต์ที่ให้บริการ VPN ด้วย
- เบลารุส: ในปี 2015 เบลารุสได้บล็อคการใช้ Tor และ VPN ตามรัสเซีย ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตจะต้องตรวจสอบกับรายชื่อบริการที่ถูกแบนรายวัน ซึ่งประกาศโดยทางการ
- โอมาน: ประเทศโอมานแบนและเซนเซอร์สื่อต่างๆอยู่เสมอ รวมถึงอินเตอร์เน็ตด้วย และมีการห้ามใช้งาน VPN
- อิหร่าน: กฎหมายเกี่ยวกับการใช้งาน VPN คือคุณสามารถใช้ได้ในกรณีที่ผู้ให้บริการ VPN นั้นได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาล ซึ่งทำลายจุดมุ่งหมายของการใช้ VPN อย่างอ้อมๆ
- รัสเซีย: รัฐบาลรัสเซียได้ออกกฎหมายแบน VPN คุณสามารถอ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
รายชื่อนี้ไม่ได้ครอบคลุมประเทศทั้งหมดและกฎหมายก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นคุณควรตรวจสอบกฎหมายล่าสุดของประเทศคุณ เพจอัพเดทสดๆของเรามีข่าวปัจจุบันเกี่ยวกับการเซนเซอร์ออนไลน์และ VPN
สรุป
ประเทศส่วนใหญ่อนุญาตให้ใช้ VPN ดังนั้นคุณสามารถใช้ได้ถ้าหากคุณไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายผ่าน VPN
สำหรับความคิดเห็นส่วนตัวของผม ผมเชื่อในความเป็นกลางทางอินเตอร์เน็ตและคิดว่าทุกคนจะต้องสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ ดังนั้นไม่ควรมีข้อห้ามหรือความลำเอียงต่างๆจากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับการให้บริการคอนเทนท์บนอินเตอร์เน็ต ซึ่งจะช่วยให้อินเตอร์เน็ตมีความโปร่งใส มีประโยชน์ และยุติธรรมสำหรับทุกคน
การใช้เทคนิคต่างๆเช่นบล็อค VPN เป็นการแก้ไขปัญหาใหญ่ๆที่จะต้องแก้ที่ต้นเหตุแทนที่จะใช้การแบน ซึ่งไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
คุณอาจชอบ:
Leave a comment
Thanks for submitting a comment, {{AUTHOR}}!
We check all comments within 48 hours to ensure they're real and not offensive. Feel free to share this article in the meantime.
Please, comment on how to improve this article. Your feedback matters!