Tor vs. VPN: อะไรปลอดภัยและเป็นส่วนตัวมากกว่าในปี 2024?
เมื่อโลกดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเรา เราต้องการแน่ใจว่าข้อมูลส่วนตัวและกิจกรรมต่างๆที่เราทำบนโลกออนไลน์นั้นเป็นส่วนตัวและไม่ตกไปอยู่ในมือของบริษัทต่างๆ รัฐบาล หรืออาชญากรโลกไซเบอร์
และเมื่อพูดถึงความปลอดภัยบนโลกออนไลน์แล้ว VPN และ Tor เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดที่คุณสามารถใช้ได้ และถึงแม้สองอย่างนี้จะมีอะไรหลายๆอย่างที่เหมือนกัน แต่ความแตกต่างของมันก็ทำให้ทั้งสองอย่างมีประโยชน์ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน - และการเลือกสิ่งที่เหมาะกับความต้องการของคุณก็เป็นสิ่งที่สำคัญต่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของคุณ
และด้านล่างนี้ เราจะพูดถึงความแตกต่างระหว่าง Tor และ VPN ดูว่ามันคืออะไรและทำงานอย่างไร และเราจะพูดถึงการใช้งานต่างๆเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่า Tor หรือ VPN เป็นวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ของคุณ
สารบัญ
- เกี่ยวกับ VPNs
- เกี่ยวกับ Tor
- ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์คืออะไร: Tor หรือ VPN?
- ตารางเปรียบเทียบ: VPN vs. Tor
- VPN+Tor: การรวมตัวที่แข็งแกร่ง
- สรุป
เกี่ยวกับ VPNs
VPN คืออะไรและมันทำอะไรได้บ้าง?
เครือข่ายส่วนตัวสมือนหรือ Virtual Private Network (VPN) จะเชื่อมต่ออุปกรณ์ของคุณเข้ากับเซิร์ฟเวอร์ในประเทศที่คุณต้องการผ่านอุโมงค์ที่ปลอดภัย นอกจากนี้ยังปิดบัง IP address ของคุณทำให้ดูเหมือนกับว่าคุณกำลังอินเทอร์เน็ตจากตำแหน่งที่เซิร์ฟเวอร์ตั้งอยู่แทนที่จะเป็นตำแหน่งที่แท้จริงของคุณ
และเมื่อรวมกับการเข้ารหัสแล้ว VPN จึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการรักษาความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ - ซึ่งหมายความว่าพวกสายลับจะไม่สามารถดูได้ว่าคุณดูอะไรบนอินเทอร์เน็ตบ้างและดูจากที่ไหน นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันไม่ให้เว็บไซต์อย่าง Google และ Facebook นำข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่คุณทำบนอินเทอร์เน็ตไปทำโฆษณาตามความสนใจของคุณ
การเข้ารหัส (Encryption) คืออะไรและมันทำอะไรได้บ้าง?
VPN ใช้การเข้ารหัสที่มีความแข็งแกร่งระดับเดียวกับทางกองทัพเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัวของคุณ ลองคิดว่านี่เป็นการเก็บรักษาข้อมูลของคุณไว้อย่างปลอดภัยและไม่มีใครเข้าถึงได้ - มีเพียงผู้ที่รู้รหัสเท่านั้นที่จะดูข้อมูลเหล่านั้นได้
ผู้โจมตีสามารถปลดการเข้ารหัสแบบ 256-bit AES ได้ด้วยการโจมตีแบบ brute force แต่นั่นหมายความว่าจะต้องใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 50 เครื่องในการเช็ครหัส AES 1018 ทุกๆวินาทีเป็นเวลา 3×1051 ปีในการแกะข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสไว้เพียงชิ้นเดียว – ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่เราต้องกังวลในตอนนี้
หากแฮ็คเกอร์หรือหน่วยงานรัฐบาลเห็นข้อมูลของคุณในขณะที่มันเดินทางผ่านเครือข่าย พวกเขาก็จะไม่สามารถอ่านมันได้และมันก็จะดูเหมือนคำต่างๆที่ไม่มีความหมาย
และเพื่อทำการทดสอบ ผมใช้เครื่องมือเข้ารหัส AES เพื่อเข้ารหัสคำว่า ‘vpnMentor’ และเมื่อไม่มีการเข้ารหัส คุณก็จะเห็นคำว่า ‘vpnMentor’ แต่เมื่อเข้ารหัสแล้วคุณก็จะเห็นเป็นอย่างนี้: ‘NRRJsYVI/6HXtdnnh2BLZg==’
และนี่ก็คือคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่ทำให้นักข่าวและนักเคลื่อนไหวปลอดภัยเมื่อพวกเขาทำการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ตในสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่วุ่นวาย แต่ VPN ไม่ได้มีประโยชน์สำหรับผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น - แต่มันเป็นเครื่องมือที่ช่วยรักษาความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยให้กับทุกๆคนบนโลกออนไลน์
คุณอาจจะต้องใช้ VPN หาก:
- คุณกังวลเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวของคุณ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์อาจตกไปอยู่ในมือของคนที่ไม่ควรได้รับมันไป
- คุณให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์
- คุณดาวน์โหลดหรือ seed ทอร์เรนต์ในประเทศที่มีการแบนทอร์เรนต์
- คุณอาศัยอยู่ในประเทศที่มีการเซ็นเซอร์ออนไลน์หรือมีการเฝ้าดูจากรัฐบาล
- คุณไม่ต้องการให้บริษัทต่างๆติดตามสิ่งที่คุณดูบนอินเทอร์เน็ตและทำโฆษณาตามความสนใจของคุณ
- คุณต้องใช้เครือข่ายธุรกิจในขณะที่คุณเดินทาง
- คุณต้องการหลบเลี่ยงไฟร์วอลล์ของเครือข่ายหรือไม่ต้องการให้ผู้ดูแลเครือข่ายเห็นสิ่งที่คุณทำบนอินเทอร์เน็ต
- คุณใช้ Wi-Fi สาธารณะและต้องการรักษาความปลอดภัยให้กับคอมพิวเตอร์ของคุณ
- คุณชื่นชอบ Netflix และบริการสตรีมมิงอื่นๆและต้องการปลดบล็อครายการในประเทศอื่นๆคุณเชื่อในสิทธิในการใช้งานบนโลกออนไลน์อย่างเสรี
ประโยชน์ของการใช้ VPN
การเข้ารหัสแบบต้นทางถึงปลายทาง (end-to-end encryption): VPN จะเข้ารหัสข้อมูลทั้งหมดที่เดินทางผ่านเครือข่ายของคุณ
ความเร็ว: ปกติแล้ว VPN จะลดความเร็วเครือข่ายของคุณ (แต่หากคุณใช้ VPN ที่มีคุณภาพคุณจะแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่างเลย) –อย่างไรก็ตามหากคุณกำลังเจอกับการลดความเร็วโดย ISP หรือการที่มีผู้ใช้งานมากเกินไป VPN ก็จะช่วยเพิ่มความเร็วให้คุณได้
ใช้งานง่าย: โดยทั่วไปแล้วหากคุณต้องการตั้งค่า VPN สิ่งเดียวที่คุณต้องทำก็คือสมัครใช้งานและติดตั้งแอพและเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่คุณต้องการ - ไม่จำเป็นต้องมีความรู้หรือความสามารถทางเทคนิคใดๆ
หลบเลี่ยงการจำกัดการเข้าถึงจากบางพื้นที่และการเซ็นเซอร์: VPN จะปิดยัง IP ของคุณทำให้ดูเหมือนกับว่าคุณกำลังใช้อินเทอร์เน็ตจากตำแหน่งที่เซิร์ฟเวอร์ของคุณตั้งอยู่ ทำให้คุณสามารถเข้าถึงเว็บไซต์และบริการสตรีมมิงที่มีการจำกัดการเข้าถึงจากบางพื้นที่อย่าง Netflix
VPN ทำงานอย่างไร?
หากต้องการใช้ VPN จะต้องมีอะไรบ้าง:
- บัญชีสำหรับใช้งาน VPN
- ติดตั้งซอฟต์แวร์หรือแอพของผู้ให้บริการบนอุปกรณ์ของคุณ
เมื่อคุณสร้างบัญชีกับผู้ให้บริการที่คุณต้องการแล้ว คุณจะต้องเปิดซอฟต์แวร์บนคอมพิวเตอร์ของคุณ เข้าสู่ระบบ และเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องการเชื่อมต่อ เซิร์ฟเวอร์ที่คุณเลือกขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณ: หากคุณให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความเร็ว ควรเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ที่ที่คุณอยู่ หากคุณต้องการหลบเลี่ยงการเซ็นเซอร์และการจำกัดการเข้าถึงจากบางพื้นที่ ควรเลือกเซิร์ฟเวอร์ในต่างประเทศ
เมื่อคุณเชื่อมต่อแล้ว ซอฟต์แวร์ก็จะเข้ารหัสข้อมูลทั้งหมดของคุณก่อนที่จะส่งช้อมูลเหล่านั้นผ่านอุโมงค์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่คุณเลือก จากนั้นเซิร์ฟเวอร์ก็จะส่งข้อมูลของคุณไปยังเว็บไซต์ที่คุณเข้าชม และเนื่องจากเซิร์ฟเวอร์จะปิดบัง IP ของคุณ เว็บไซต์ก็จะเห็นว่าข้อมูลของคุณมาจากเซิร์ฟเวอร์ไม่ใช่อุปกรณ์ของคุณ ดังนั้นคุณก็สามารถรักษาความเป็นส่วนตัวไว้ได้
VPN ที่ปลอดภัยควรมีอะไรบ้าง
การเข้ารหัสระดับเดียวกับทางการทหาร: ผู้ให้บริการ VPN ของคุณควรมีการเข้ารหัสแบ บ 256-bit เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลของคุณจะถูกเก็บเป็นส่วนตัวการ
การป้องกัน DNS รั่วไหล: Domain Name System (DNS) ก็เหมือนกับสมุดโทรศัพท์บนโลกอินเทอร์เน็ต เมื่อคุณเข้าชมเว็บไซต์ คอมพิวเตอร์ของคุณก็จะขอ IP address ของเว็บไซต์จากเซิร์ฟเวอร์ DNS ของ ISP - แต่เมื่อคุณใช้ VPN คอมพิวเตอร์จะติดต่อกับ DNS ของ VPN คุณ
บางครั้งอาจเกิดข้อผิดพลาดด้านความปลอดภัยทำให้คำขอ DNS ของคุณถูกส่งไปที่เซิร์ฟเวอร์ DNS ของ ISP แทนที่จะเป็นเซิร์ฟเวอร์ของ VPN ซึ่งทำให้ ISP ของคุณเห็นว่าคุณกำลังเข้าเว็บไซต์อะไร ลองหา VPN ที่มีการป้องกัน DNS รั่วไหลเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตของคุณจะไม่ถูกเปิดเผย
นโยบายไม่บันทึกข้อมูลที่เข้มงวด: ผู้ให้บริการ VPN ส่วนใหญ่บันทึกกิจกรรมการใช้งานของคุณไว้ เช่น เวลาที่คุณใช้งานและจำนวนข้อมูลที่มีการรับส่งในช่วงเวลานั้น และส่วนใหญ่แล้วข้อมูลที่เก็บไว้นั้นไม่เป็นอันตรายเนื่องจากข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่ไม่สามารถยืนยันยันตัวตนผู้ใช้งานได้ - แต่ถ้าหากผู้ให้บริการมีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานบนเบราว์เซอร์ทั้งหมดเอาไว้ ความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ของคุณก็ไม่เหลือ
ถ้าหากหน่วยงานราชการส่งหมายไปที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทเพื่อขอข้อมูลทั้งหมด VPN ที่ไม่ได้บันทึกข้อมูลเอาไว้ก็จะไม่มีข้อมูลใดๆไปให้พวกเขา
Kill switch อัตโนมัติ: Kill Switch อัตโนมัติจะหยุดการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตโดยอัตโนมัติหากการเชื่อมต่อ VPN ของคุณล้มเหลวเพื่อป้องกันไม่ใช่ข้อมูลและ IP รั่วไหล
ข้อดีและข้อเสียของการใช้ VPN
ข้อดี |
ข้อเสีย |
|
|
เกี่ยวกับ Tor
Tor คืออะไรและมันทำอะไรได้บ้าง?
Tor ย่อมาจาก The Onion Router เป็นซอฟต์แวร์ฟรีสำหรับปิดบังตัวตนของคุณโดยการเข้ารหัสข้อมูลทั้งหมดของคุณและส่งข้อมูลเหล่านั้นผ่านเซิร์ฟเวอร์ที่มีการดูแลรักษาโดยอาสาสมัครซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ nodes และเมื่อ node สุดท้ายหรือ - exit node - ได้รับข้อมูลทราฟฟิคสุดท้ายมันก็จะปลดรหัสและส่งข้อมูลไปให้เว็บไซต์ที่คุณกำลังเข้าชม
และเนื่องจากมีการเข้ารหัสหลายชั้น node แต่ละ node บนเครือข่ายจะเห็น IP address ของ node ก่อนหน้าและถัดไปเท่านั้น (ยกเว้น entry node ซึ่งจะเห็น IP ที่แท้จริงของคุณ) และมีแค่ exit node เท่านั้นที่จะเห็นข้อมูลที่คุณเข้ารหัสไว้ Tor ป้องกันไม่ให้สามารถสาวข้อมูลการใช้งานของคุณกลับไปยังตัวคุณได้ - สายลับต่างๆสามารถเห็นทราฟิคของคุณเมื่อมันออกจากเครือข่ายแต่ไม่สามารถดูแหล่งที่มาได้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก node ต่างๆของ Tor ได้รับการดูแลรักษาโดยอาสาสมัคร ใครๆก็สามารถตั้งค่า exit ode และดู traffic ที่ออกจาก node ได้ - รวมถึงแฮ็คเกอร์และสายลับด้วย node ที่ไม่ดีจะเก็บข้อมูล เช่น ข้อมูลการเข้าสู่ระบบเว็บไซต์ ข้อมูลส่วนตัว ข้อความแชทออนไลน์ และอีเมล โดยมีวิธีการสองวิธีในการป้องกัน:
- หลีกเลี่ยงการส่งข้อความส่วนตัวและข้อมูลที่ละเอียดอ่อนผ่านการเชื่อมต่อของคุณ อย่าเข้าสู่ระบบบนเว็บไซต์ยกเว้นว่าจะเป็นเว็บไซต์ที่ใช้ HTTPS
- ใช้ VPN ร่วมกับ Tor เพื่อเข้ารหัสข้อมูลทีละเอียดอ่อนและข้อมูลการเข้าสู่ระบบ - เราจะเจาะลึกรายละเอียดด้านล่าง
เข้าถึงเว็บไซต์ที่ถูกซ่อนไว้
Tor ยังเป็นประตูสู่ dark web ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกซ่อนไว้บนโลกออนไลน์ โดยเป็นแหล่งการดำเนินการอาชญากรรมออนไลน์ - และเป็นสวรรค์ของผู้ที่ต้องการแชร์ข้อมูลโดยไม่เปิดเผยตัวตน ตัวอย่างเช่น New York Times มีกล่องข้อความบน dark web ทำให้ผู้คนสามารถส่งไฟล์และข้อมูลต่างๆโดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตน แต่อย่าเพิ่งตกใจไป - คนธรรมดาก็ใช้ Tor เหมือนกัน!
เว็บไซต์ยอดนิยมหลายเว็บมีเวอร์ชันแบบ .onion ที่คุณสามารถเข้าถึงได้ผ่าน Tor เท่านั้น และนี่คือตัวอย่าง:
Facebook: ถึงแม้ว่าความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์กับ Facebook ฟังดูไม่เข้ากัน แต่ Facebook มีการใช้ .onion เพื่อให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศที่มีการเซ็นเซอร์หนักสามารถสื่อสารผ่าน Facebook ได้
ProPublica: ProPublica มีเว็บไซต์แบบ .onion เพื่อให้ผู้อ่านไม่ต้องกังวลกับการเฝ้าดูบนโลกดิจิทัลในประเทศที่มีการเซ็นเซอร์ ProPublica
DuckDuckGo: DuckDuckGo เป็นเว็บไซต์เสิร์ชเอ็นจินที่ทรงพลังและไม่ก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของคุณเหมือนที่ Google ทำ หากคุณใช้ Google ผ่าน Tor คุณจะต้องเจอกับ captchas มากมายเพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่ใช่หุ่นยนต์ แต่ DuckDuckGo แก้ปัญหานี้และกำลังจะมาแทนที่ Google
คุณอาจจะใช้ Tor หาก:
- คุณต้องการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานไว้เป็นส่วนตัว
- คุณอยู่ในประเทศที่กฎหมายการเฝ้าดูจากรัฐบาลที่เข้มงวด
- คุณจะต้องหลบเลี่ยงการเซ็นเซอร์เพื่อเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกบล็อคหรือเพื่อแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ
- คุณต้องการป้องกันไม่ให้เว็บไซต์ต่างๆเห็นสิ่งที่คุณดูบนอินเทอร์เน็ตทำให้ไม่สามารถทำโฆษณาแบบกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้
- คุณต้องการรักษาสิทธิในการมีอิสรภาพบนโลกออนไลน์
ประโยชน์ของการใช้ Tor
ฟรี: Tor เป็นวิธีการรักษาความปลอดภัยที่มีราคาถูกที่สุด - เนื่องจากมันฟรี
ปิดบังตัวตนอย่างสมบูรณ์: Tor ไม่บันทึกข้อมูลการใช้งานของคุณ คุณไม่จำเป็นต้องสมัครใช้งานและเนื่องจากนี่เป็นบริการฟรีจึงไม่มีการเก็บข้อมูลทางการเงินของคุณ
ถูกปิดตัวลงได้ยาก: เซิร์ฟเวอร์ของ Tor ตั้งอยู่ทุกที่ทั่วโลกทำให้ทางการแทบไม่มีโอกาสสั่งปิดได้เลย เพราะ Tor ไม่มีสำนักงานใหญ่หรือเซิร์ฟเวอร์หลักให้โดนโจมตีหรือแบนไม่เหมือนกับ VPN
VPN เป็นธุรกิจ ดังนั้นก็เสี่ยงต่อการถูกปิดตัวหรือโโนแบนทำให้คุณต้องหาและจ่ายเงินให้กับผู้ให้บริการรายใหม่ - ซึ่งเป็นปัญหาที่คุณจะไม่มีทางเจอกับ Tor
Tor ทำงานอย่างไร?
หากต้องการใช้ Tor จะต้องมีอะไรบ้าง:
- เบราว์เซอร์ Tor หรือระบบปฏิบัติการ Tor
ซอฟต์แวร์ Tor จะสร้างเส้นทางจากอุปกรณ์ของคุณไปผ่าน nodes ที่สุ่มเลือกขึ้นมาไปยัง exit node จากนั้นก็จะมีการเข้ารหัสข้อมูลสามชั้นและส่งไปยัง node แรก
node แรกบนเครือข่ายจะปลดรหัสชั้นนอกสุด ข้อมูลในชั้นนี้จะบอกว่าจะส่งข้อมูลไปที่ไหน และ node ที่สองก็จะทำกระบวนการเดิมซ้ำ
เมื่อทราฟฟิคของคุณเดินทางไปถึง exit node ของเครือข่ายจะมีการปลดรหัสชั้นสุดท้าย ซึ่งหมายความว่าจุดหมายปลายทางของข้อมูลและข้อมูลต่างๆจะถูกเปิดเผย - รวมถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนที่คุณอาจจะกรอกบนเว็บไซต์ในตอนแรก
Tor จะใช้ node เดิมสาม node เป็นเวลาประมาณ 10 นาทีก่อนที่จะสร้างเส้นทางใหม่สำหรับทราฟฟิค
ข้อดีและข้อเสียของการใช้ Tor
ข้อดี |
ข้อเสีย |
|
|
การรักษาความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ที่ดีที่สุดคืออะไร: Tor หรือ VPN?
VPN เป็นวิธีการรักษาความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ที่ดีที่สุด
Tor ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในเรื่องความสามารถในการปิดบังการรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตของคุณแต่มันก็มีข้อจำกัดและมีความเสี่ยงจากการโจมตีและข้อมูลรั่วไหล
ใครๆก็สามารถสร้างและดำเนินการ node ได้ แม้กระทั่งแฮ็คเกอร์และสปาย นอกจากนี้ Tor ยังไม่มีการเข้ารหัสแบบต้นทางถึงปลายทาง (end-to-end encryption) ดังนั้นหากคุณไม่ได้ใช้ dark web หรือเว็บไซต์ที่มี HTTPS เจ้าของ exit node ที่คุณใช้สามารถเห็นข้อมูลและจุดหมายปลายทางของคุณได้
ดังนั้นหากคุณใช้ Tor ส่งข้อมูลที่ละเอียดอ่อนหรือเข้าสู่ระบบบนเว็บไซต์ ผู้ที่เป็นเจ้าของ exit node ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้เช่นกัน VPN มีการเข้ารหัสแบบต้นทางถึงปลายทาง (end-to-end encryption) ทำให้ข้อมูลของคุณปลอดภัยจากแฮ็คเกอร์และสปาย 100%
Tor จะปกป้องข้อมูลที่ส่งผ่านเบราว์เซอร์ของคุณเท่านั้นเว้นแต่คุณจะใช้ระบบปฏิบัติการของ Tor ส่วน VPN จะเข้ารหัสข้อมูลทั้งหมดที่เดินทางผ่านการเชื่อมต่อของคุณ
VPN ส่วนใหญ่มี kill switch ที่จะตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของคุณเพื่อป้องกันข้อมูลที่ไม่ได้รับการปกป้องไม่ให้ออกจากเครือข่ายของคุณในกรณีที่การเชื่อมต่อของคุณล้มเหลวซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
เครือข่ายของ Tor ไม่มีการล้มเหลวในลักษณะเดียวกัน แต่อาจจะมี node ที่ไม่หวังดีซึ่งเก็บข้อมูลของคุณได้ Tor ต่างจาก VPN ตรงที่ Tor ไม่มี kill switch ที่ตรวจพบความผิดพลาดในลักษณะนี้ได้ ดังนั้นหากมี node อันใดอันหนึ่งที่ล้มเหลวข้อมูลของคุณก็จะถูกเปิดเผย
VPN ก็มีข้อบกพร่องเช่นกัน แต่เมื่อคุณใช้ VPN คุณมีความเสี่ยงต่ำที่จะถูกแฮ็คหรือมีข้อมูลรั่วไหล อย่างไรก็ตามวิธีการรักษาความปลอดภัยออนไลน์ที่ทรงพลังที่สุดคือการรวม VPN กับ Tor เราจะพูดถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดด้านล่าง
ตารางเปรียบเทียบ: VPN vs. Tor
และนี่คือการเปรียบเทียบระหว่างบริการทั้งสอง
Tor |
VPN |
|
ค่าใช้จ่าย: | ฟรี | ค่าบริการที่ไม่แพงมาก โดยส่วนใหญ่แล้วไม่ติดสัญญา |
การเข้ารหัส: | มีการเข้ารหัสจนถึง exit node เท่านั้น | มีการเข้ารหัสแบบต้นทางถึงปลายทาง (end-to-end encryption) |
ความเป็นส่วนตัว: | มีความเป็นส่วนตัวแต่โปรแกรมของรัฐบาลสามารถตรวจจับได้หากคุณใช้ | มีความเป็นส่วนตัว |
คุณสมบัติด้านความปลอดภัยอื่นๆ: | สามารถใช้ร่วมกับ Obfsproxy ได้ | ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ:
kill switch อัตโนมัติ การป้องกัน Wi-Fi อัตโนมัติ การป้องกัน DNS รั่วไหล นโยบายไม่บันทึกข้อมูล Obfsproxy และอีกมากมาย |
อุปกรณ์ที่รองรับ | Windows, MacOS, Linux, Android. | ทุกแบบรวมถึงเราเตอร์ด้วย |
สตรีมมิง: | ไม่แนะนำให้ใช้ Tor เพื่อการสตรีมมิงเนื่องจากช้า | ใช้ได้ - ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ |
การทอร์เรนต์: | Exit Nodes ส่วนใหญ่บล็อคทราฟิคในการทอร์เรนต์ | ใช้ได้ - ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ |
ความยากง่ายในการใช้งาน: | การตั้งค่าเบราว์เซอร์ทำได้ง่ายแต่ส่วนใหญ่จะต้องมีการกำหนดค่าเพิ่มเติม | ใช้งานง่าย เหมาะกับมือใหม่ |
ความเร็ว: | ช้า | ความเร็วสูง |
VPN+Tor: การรวมตัวที่แข็งแกร่ง
หากคุณต้องการป้องกันการเชื่อมต่อของคุณด้วยวิธีการรักษาความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ที่แข็งแกร่งที่สุด คุณควรใช้ VPN ร่วมกับ Tor
โปรโตคอลการเข้ารหัสของ VPN จะป้องกันไม่ให้ node ที่ไม่หวังดีเห็น IP และกิจกรรมของคุณ รวมทั้งป้องกันไม่ให้ ISP ของคุณและหน่วยงานเฝ้าระวังตรวจจับการใช้ Tor - เพราะท้ายที่สุดแล้วคุณก็ไม่อยากให้มีใครสงสัยเกี่ยวกับการทำกิจกรรมต่างๆบนโลกออนไลน์ของคุณ นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณสามารถเข้าเว็บไซต์ที่บล็อคผู้ใช้งาน Tor ได้ด้วย
มีวิธีการรวม VPN กับ Tor สองแบบ:
Tor over VPN
เมื่อคุณใช้การกำหนดค่า Tor over VPN คุณจะต้องเชื่อมต่อกับ VPN ก่อนเปิด Tor โดย VPN จะเข้ารหัสการรับส่งข้อมูลของคุณก่อนที่จะถูกส่งผ่านเครือข่าย Tor และซ่อนการใช้ Tor จาก ISP ของคุณ
การใช้ Tor over VPN ทำให้ผู้ให้บริการ VPN ของคุณไม่สามารถดูข้อมูลที่คุณส่งผ่าน Tor แต่พวกเขาสามารถเห็นว่าคุณเชื่อมต่ออยู่ โดย entry node ของ Tor จะไม่เห็น IP จริงของคุณ แต่จะเห็น IP ของเซิร์ฟเวอร์ VPN แทน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้คุณ
อย่างไรก็ตามทราฟฟิคของคุณจะไม่ถูกเข้ารหัสเมื่อออกจากเครือข่าย Tor ดังนั้น Tor over VPN จะไม่ปกป้องคุณจาก exit node ที่เป็นอันตราย ดังนั้นคุณจะต้องระมัดระวังเกี่ยวกับการส่งข้อมูลที่สำคัญผ่านการเชื่อมต่อของคุณ
ควรใช้ Tor over VPN หาก:
- คุณต้องซ่อนการใช้ Tor ของคุณจาก ISP และหน่วยงานที่เฝ้าดู
- คุณต้องซ่อนการรับส่งข้อมูลจากผู้ให้บริการ VPN ของคุณ
- คุณไม่ได้ส่งข้อมูลส่วนตัว เช่นรายละเอียดการเข้าสู่ระบบ ผ่านการเชื่อมต่อของคุณ
วิธีการตั้งค่า Tor over VPN:
1. เปิดแอพ VPN และเชื่อมต่อกับเครือข่าย VPN
2. เปิด Tor และเมื่อมันโหลดแล้วคุณจะเห็นหน้านี้:
3. คลิกที่ connect และรอให้ Tor ทำการเชื่อมต่อ
4. คุณพร้อมใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัยและไม่ต้องเปิดเผยตัวตนแล้ว
VPN over Tor
VPN over Tor ทำงานตรงข้ามกับ Tor over VPN โดยคุณจะต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตก่อนจากนั้นก็เข้าสู่ระบบ VPN ผ่านเครือข่าย Tor โดยวิธีการนี้จะต้องอาศัยความรู้ทางเทคนิคมากว่า เนื่องจากคุณจะต้องตั้งค่าไคลเอนต์ VPN ให้ทำงานกับ Tor ได้
แทนที่จะเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตโดยตรง exit node ของ Tor จะเปลี่ยนเส้นทางการรับส่งข้อมูลของคุณไปยังเซิร์ฟเวอร์ VPN วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงจาก exit node ที่เป็นอันตราย เนื่องจากทราฟฟิคของคุณจะถูกถอดรหัสหลังจากออกจากเครือข่าย Tor
แม้ว่า entry node ของ Tor จะยังคงเห็น IP จริงของคุณ แต่ VPN ของคุณจะเห็นที่อยู่ของ exit node เท่านั้น ISP ของคุณจะไม่สามารถเห็นว่าคุณเชื่อมต่อกับ VPN แต่จะเห็นว่าคุณกำลังใช้ Tor และเนื่องจากคุณสามารถเลือกเซิร์ฟเวอร์ระยะไกลที่ VPN ของคุณใช้จึงทำให้คุณหลบเลี่ยงการจำกัดการเข้าถึงจากบางพื้นที่และการเซ็นเซอร์ได้ง่ายขึ้นด้วยวิธีนี้
ควรใช้ VPN over Tor หาก:
- คุณต้องการรักษาความปลอดภัยให้กับการเชื่อมต่อของคุณจาก exit node ที่เป็นอันตราย
- คุณต้องการซ่อนการใช้ VPN จาก ISP
- คุณกำลังจะส่งข้อมูลที่ละเอียดอ่อนผ่านการเชื่อมต่อ เช่น ข้อมูลการเข้าสู่ระบบและข้อความส่วนตัว
- คุณจะต้องหลบเลี่ยงการจำกัดการเข้าถึงจากบางพื้นที่
สรุป
VPN เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องข้อมูลและรักษาความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ของคุณ
คุณสามารถใช้ VPN เพื่อปลดบล็อคทุกอย่างบนอินเทอร์เน็ตได้อย่างปลอดภัยในขณะเดียวกันก็ปกป้องตัวเองจากแฮ็คเกอร์ สปาย และการโจมตีที่เป็นอันตราย แต่หากคุณใช้ VPN ร่วมกับ Tor คุณก็จะรักษาความเป็นส่วนตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ไม่ว่าคุณจะต้องการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว เช่น ข้อมูลทางการเงินและข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตหรือต้องการหลบเลี่ยงการเฝ้าดูบนโลกออนไลน์เพื่อรักษาสิทธิในการออกความคิดเห็นอย่างอิสระ เราขอแนะนำให้ใช้ VPN over Tor
หากคุณกำลังมองหา VPN ที่เชื่อถือได้และมีคุณสมบัติความปลอดภัยขั้นสูง ลองดูที่รายชื่อ VPN ที่ดีที่สุดห้ารายชื่อของเรา บริการทั้งหมดนี้มาพร้อมกับบริการให้ทดลองใช้งานฟรี และ/หรือ บริการรับประกันความพึงพอใจคืนเงิน ดังนั้นคุณก็สามารถทดลองใช้ได้โดยไม่ต้องเสี่ยงเพื่อดูว่ามันเป็นบริการที่เหมาะกับความต้องการของคุณหรือไม่
หากต้องการใช้ VPN อย่างคุ้มค่าที่สุด อย่าพลาด ข้อเสนอและคูปองส่วนลด VPN ของเรา
หมายเหตุจากบรรณาธิการ: เราให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของเรากับผู้อ่าน และเรามุ่งมั่นที่จะได้รับความไว้วางใจจากคุณด้วยการทำงานด้วยความโปร่งใสและความซื่อสัตย์ เว็บของเราอยู่ในกลุ่มเจ้าของเดียวกันกับผลิตภัณฑ์ชั้นนำในอุตสาหกรรมบางส่วนที่ได้รับการตรวจสอบบนเว็บไซต์นี้: Intego, Cyberghost, ExpressVPN และ Private Internet Access อย่างไรก็ตามสิ่งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการตรวจสอบของเรา เนื่องจากเราปฏิบัติตามวิธีการทดสอบที่เข้มงวด
บทความอื่นๆที่คุณอาจสนใจ:
การเปรียบเทียบโปรโตคอล VPN
Google รู้อะไรเกี่ยวกับคุณบ้าง?
Kill Switch คืออะไร?
VPN ที่ไม่มีการบันทึกข้อมูลที่ดีที่สุดที่ได้รับการยืนยันแล้ว
ข้อมูลของคุณจะถูกเปิดเผยต่อเว็บไซต์ที่คุณเข้าชม!
หมายเลข IP ของคุณ:
ตำแหน่งของคุณ:
ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตของคุณ:
ข้อมูลข้างต้นสามารถใช้เพื่อติดตาม กำหนดเป้าหมายโฆษณาและติดตามกิจกรรมที่คุณทำบนอินเตอร์เน็ตได้
VPN สามารถช่วยคุณซ่อนข้อมูลเหล่านี้จากเว็บไซต์ เพื่อให้คุณได้รับการปกป้องตลอดเวลา เราขอแนะนำ ExpressVPN - VPN อันดับ #1 จากผู้ให้บริการกว่า 350 รายที่เราได้ทดสอบ มีการเข้ารหัสระดับทหารและฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัวมากมายที่จะช่วยให้คุณมั่นใจในความปลอดภัยเมื่อใช้งานอินเตอร์เน็ต - นอกจากนี้ยังมีส่วนลดจาก 82% อีกด้วย
กรุณาแสดงความคิดเห็นว่าพวกเราสามารถพัฒนาบทความนี้ได้อย่างไร ความคิดเห็นของคุณมีค่าสำหรับเรา!